วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปฏิบัติตามคุณธรรมทางศาสนา




การปฏิบัติตามคุณธรรม ๔ ประการ

เป็นคุณธรรมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงนำเอาคำแปลพระศาสนธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่าฆราวาสธรรม มารวมเป็นพระบรมราโชวาท เพื่อเป็นหลักให้ประชาชนคนไทยทุกคนได้ศึกษา และนำไปปฏิบัติปลุกฝังให้เจริญงอกงามในจิตใจ จะช่ายให้ประเทศชาติเกิดความสงบสุข ร่มเย็นประกอบด้วย.-


คุณธรรมประการที่ ๑ คือ การรักษาความสัจความจริงใจต่อตัวเองที่ ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นคุณธรรม
ความสัจ คือ สัจจะ ความจริงใจ เป็นคนพูดจริงทำจริงอย่างไรก็ปฏิบัติอย่างนั้นเป็นปกตินิสัย เป็นที่ยอมรับของสังคม ซึ่งตรงข้ามกับคนไม่มีสัจจะความจริงใจเป็นคนใจคอโลเล พูดไม่จริง ทำไม่จริงเป็นคนปากกับใจไม่ตรงกันดังคำพังเพยที่ว่า "เมื่อไม่ทำดังปากว่า และจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน " คนที่ไม่มีสัจจะอยู่ในจิตใจเป็นบุคคลที่ไร้ค่าเป็นบุคคลที่สังคมไม่ปรารถนา


คุณธรรมประการที่ ๒ คือ การรู้จักข่มใจตนเอง ให้ประพฤติและปฏิบัติ อยู่ในความสัจความดีนั้นคุณธรรม
ข้อนี้แยกได้เป็น ๒ ประการคือ รู้จักข่มใจตนเอง ให้ประพฤติและปฏิบัติอยู่ในความสัจ ความดีนั้นการข่มใจ หมายถึงการรู้จักบัคับตนเอง ไม่ให้โลภอยากได้ในทางทุจริตผิดศีลธรรม ไม่ให้โกรธเคืองคิดอาหาตพยาบาทจองเวรไม่หลงงมงายคนที่มีความข่มใจจะเป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง ไม่แสดงอาการผิดปกติออกนอกหน้าตามคำพังเพยที่ ว่า "เก็บน้ำใจขุ่นไว้ข้างใน นำน้ำใสไว้ข้างนอก"
การฝึกใจ หมายถึง การรู้จัดฝึกฝนตนเองรู้จัดฝึกตัวฝึกใจปรับปรุงแห้ไขตัวเอง ให้เหมาะสมกับภาวะและสถานะของตน อีกประการหนึ่งคือการหยุดใจ เผป็นการรู้จักยับยั้งใจไม่ถลำลงไปสุ่ความชั่ง ความผิด ความเสียหาย


คุณธรรมประการที่ ๓ คือ การอดทน อดกลั้น และอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วงความทุจริต ไม่ว่าจะด้วยเหตุ
ประการใด เป็นคุณธรรมที่สามารถแยกได้เป็น ๖ อย่าง ได้แก่


๑.การอดทน ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใด
๒.การอดทน ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจสุจริต ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใด
๓.การอดกลั้น ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจ ไม่ว่าจะเป็นเตุประการใด
๔.การอดกลั้น ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสุจริต ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใด
๕.การอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใด
๖.การอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสุจริต ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใด

การอดทน อดกลั้น อดออม ก็เพื่อให้พ้นจากสภาพที่เลว และให้ได้มาซึ่งสภาพที่ดี ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใด

๒.การอดทน ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจสุจริต ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใด
๓.การอดกลั้น ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจ ไม่ว่าจะเป็นเตุประการใด
๔.การอดกลั้น ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสุจริต ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใด
๕.การอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใด
๖.การอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสุจริต ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใด
การอดทน อดกลั้น อดออม ก็เพื่อให้พ้นจากสภาพที่เลว และให้ได้มาซึ่งสภาพที่ดี
คุณธรรมประการที่ ๔ การรู้จักละความชั่ว ความทุจริต และรู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง 

คุณธรรมข้อนี้เป็นการสอนให้ละวาง ๒ อย่างคือ

๑.ละวางความชั่ว ๒.ละวางความทุจริตและสละประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง 
การละวางหมายถึง การละทิ้ง ไม่ใส่ใจอารมณ์ที่มารบกวนให้เรากระทำชั่ว ให้เรากระทำทุจริตซึ่งทำให้เสียความจริงใจ สละวัตถุ และสละอารมณ์ การเสียสละวัตถุหรือสิ่งของธรรมดา เราอยู่ในสังคมต้องรู้จักการเสียสละในคราวที่ควรจะเสียสละ ต้องรู้จักแบ่งปันแก่คนที่สมควรจะให้การแบ่งปัน เป็นการแสดงความมีน้ำใจ การเสียสละอารมณ์เป็นการปลดเปลื้องอารมณ์ในสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาอันจะทำให้บุคคลอื่น เกิดความขัดใจไม่พอใจ เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง คือถ้าหากเราเสียสละแล้วไม่ว่าวัตถุก็ดี อารมณ์ก็ดี สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดความสุขสงบของบุคคล สังคม ก็ย่อมที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข ร่มเย็นด้วยแล้วเราก็ควรที่จะปฏิบัติ



พอเพียง เสียสละ มีน้ำใจ






                                                           พอเพียง เสียสละ มีน้ำใจ
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงชีวิต ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา และถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทต่อการกำหนดอุดมการณ์การพัฒนาของประเทศ โดยปัญญาชนในสังคมไทยหลายท่านได้ร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างเช่น ศ.นพ.ประเวศ วะสีศ.เสน่ห์ จามริก,ศ.อภิชัย พันธเสน, และศ.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา โดยเชื่อมโยงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งเคยถูกเสนอมาก่อนหน้าโดยองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่งนับตั้งแต่พุทธทศวรรษ 2520 และได้ช่วยให้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมไทย
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9  และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอย่างสูงจากองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ  และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน  โดยมีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่ในขณะเดียวกัน บางสื่อได้มีการตั้งคำถามถึงการยกย่องขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีขององค์การ


ความเสียสละเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานของผู้ที่อยู่ร่วมกันในสังคม ทุกคนในสังคมต้องมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเสียสละแบ่งปันให้แก่กัน ไม่มีจิตใจคับแคบ เห็นแก่ตัว ความเสียสละจึงเป็นคุณธรรมเครื่องผูกมิตรไมตรี ยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ เป็นเครื่องมือสร้างลักษณะนิสัยให้เป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนรวมมากกว่าประโยชน์สุขส่วนตัว
คนที่อยู่ร่วมกันในสังคมจะเกิดความสงบสุขได้ควรจะมีคุณธรรมคือความเสียสละ คือเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อส่วนรวม เพราะถ้าต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่คนอื่นแล้ว ส่วนรวมก็จะเดือดร้อน เมื่อส่วนรวมเกิดความเดือดร้อนเสียแล้วความสุขความสงบจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
การเสียสละจึงเป็นคุณธรรมสำคัญอย่างหนึ่งในสังคม เริ่มตั้งแต่ครอบครัวอันเป็นหน่วยเล็กๆ ของสังคม ต้องเสียสละความสุขส่วนตัวให้แก่กัน เสียสละทรัพย์สินที่หามาได้ด้วยความเหนื่อยยากลำบากให้แก่กัน ทั้งในยามปกติและคราวจำเป็น 
ดังจะเห็นได้จากที่มีการเสียสละ และบริจาคทรัพย์ สิ่งของเพื่อช่วยเหลือกัน ในเมื่อประสบภัยอย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นแก่คนในที่ใดที่หนึ่ง ก็มักจะมีการรับบริจาคเพื่อนำเงินหรือสิ่งของไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนอันเกิดจากภัยพิบัติต่างๆ เช่น อุทกภัย วาตภัย เป็นต้น หรือไม่ก็มีการรับบริจาคสิ่งของเพื่อนำไปสร้างเป็นสาธารณ ประโยชน์ให้แก่สังคมส่วนรวม
บุคคลผู้มีน้ำใจเสียสละ มีจิตใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทุกคนในสังคม ช่วยเหลือเท่าที่เห็นว่าสมควรจะช่วยเหลือได้ เห็นใครควรแก่การช่วยเหลือก็ช่วยเหลือตามกำลังมากบ้างน้อยบ้าง หรือบางครั้งก็ช่วยเหลือด้วยกำลังกาย บางครั้งก็ช่วยเหลือด้วยกำลังทรัพย์ บางครั้งก็ช่วยเหลือด้วยกำลังสติปัญญา ทุกๆ ครั้งที่ช่วยเหลือก็มีความกรุณาสงสารเป็นเบื้องหน้า มุ่งที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ของผู้อื่นด้วยความเต็มใจ บริสุทธิ์ใจ
ผู้ที่ฝึกฝนมาดีในเรื่องของการเสียสละย่อมสละได้โดยง่าย ไม่ต้องฝืนใจ สามารถที่จะทำได้อย่างสม่ำเสมอ และสามารถที่จะเสียสละให้ได้แม้สิ่งอันเป็นที่รัก ที่ให้ได้โดยยาก มีอวัยวะและชีวิตเป็นที่สุด
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และการเสียสละเป็นคุณธรรมสำคัญประการหนึ่งที่สร้างความนับถือ ผูกไมตรี ทำคนเกลียดให้รัก ทำคนที่รักอยู่แล้วให้มีความรักมากยิ่งขึ้น ย่อมให้ผลที่ดีเสมอ ก่อให้เกิดความชื่นชมยินดีต่อกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้หรือผู้รับ คนที่มีน้ำใจเสียสละคิดจะเฉลี่ยแบ่งปันลาภผลและความสุขของตนแก่ผู้อื่นอยู่เสมอนั้น ไม่ว่าใครๆ ก็อยากคบหาสมาคมด้วย


วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ซื่อสัตย์ สุจริต



                                         ซื่อสัตย์สุจริต
         ความซื่อสัตย์สุจริต  หมายถึง ผู้ที่มีความประพฤติตรงต่อเวลา ต่อหน้าที่ และต่อวิชาชีพ  มีความจริงใจ ไม่มีความลำเอียง ไม่ทุจริตคดโกง ทั้งทางตรงและทางอ้อม รู้หน้าที่การงานของตนเอง ปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถ  ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
            ผู้ที่จะมีความซื่อสัตย์สุจริตได้ ต้องมีคุณธรรมประจำ กาย วาจา ใจ คือ
            ๑) มีสัจจะ หมายถึง การคิด การพูด การทำแต่ความจริง
            ๒) มีความเป็นธรรม หมายถึง มีใจเป็นกลาง
            ๓) ไม่มีอคติ หมายถึง ไม่มีความลำเอียงเข้าข้างใดข้างหนึ่ง
            ๑) ผู้ที่มีสัจจะ คือผู้ที่มีความจริงใจ ซื่อสัตย์ต่อตนเอง และผู้อื่น เช่น จะคิด จะพูด จะทำ สิ่งใดก็ต้องทำสิ่งนั้นให้สำเร็จลุลวงไปด้วยดี สิ่งนั้นต้องเป็นความจริง มีประโยชน์กับตนเองผู้อื่น และส่วนรวม จะประกอบกิจการใดๆ ก็มีความจริงจัง จริงใจ ต่อเนื่อง มีความซื่อตรงต่อเวลาต่อหน้าที่ มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทุจริตคดโกงทั้งทางตรงและทางอ้อม มีความประพฤติดีทั้งกาย วาจา ใจ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตนเอง ผู้อื่น องค์กร สังคม และประเทศชาติบ้านเมือง
            ๒) มีความเป็นธรรม เป็นผู้ที่รู้เหตุ รู้ผล รู้ผิด รู้ถูก รู้ชั่ว รู้ดี เข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์   ย่อมทำถูกบ้าง  ผิดบ้าง เพราะมีสติปัญญาแตกต่างกัน ผู้ที่มีใจเป็นกลาง  ต้องส่งเสริมสนับสนุน ผู้ที่ทำถูกทำดีแล้วให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป  และให้โอกาสผู้ที่ทำผิดทำชั่ว โดยช่วยอบรมสั่งสอน ให้ปรับปรุงแก้ไขตนเอง  ให้ละชั่วประพฤติดี ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ใครถูกก็ว่าไปตามถูก  นี้คือ คุณสมบัติของ  ผู้ที่มีคุณธรรมประจำใจ คือ  “ความเป็นธรรม”
             ๓)  ไม่มีอคติ หมายถึง  ไม่มีความลำเอียง  ๔  ประการดังนี้
                        ๑) ไม่ลำเอียงเพราะรัก
                        ๒) ไม่ลำเอียงเพราะเกลียด
                        ๓) ไม่ลำเอียงเพราะกลัว
                        ๔) ไม่ลำเอียงเพราะโง่เขลา
            ผู้ที่มีอคติ   คือมีความลำเอียง  หรือความเอนเอียง   เข้าข้างใดข้างหนึ่ง  ไม่เป็นกลาง  ไม่มีความยุติธรรม
            ๑) ไม่ลำเอียงเพราะรัก หมายถึง คนที่เรารักทำความผิดเราก็ต้องตัดสินว่าผิด คนที่เรารักทำถูกเราก็ตัดสินว่าถูก เพราะมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น
            ๒) ไม่ลำเอียงเพราะเกลียด คนที่เราเกลียดทำถูกเราต้องตัดสินว่าถูก คนที่เราเกลียดทำผิดเราก็ต้องตัดสินว่าผิด เพราะมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น
            ๓) ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ผู้ที่มีอำนาจทำผิด เราก็ต้องตัดสินว่าผิด ผู้ที่มีอำนาจมีอิทธิพลทำถูกเราก็ต้องตัดสินว่าถูก เพราะมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น ไม่เกรงกลัวอำนาจอิทธิพลใดๆ
            ๔) ไม่ลำเอียงเพราะโง่เขลา ผู้ใดที่กระทำความผิด เราต้องใช้สติปัญญาพิจารณาให้รอบคอบ ไม่หูเบาเชื่อคนง่าย ไม่ตัดสินคดีความด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ต้องมีความเป็นธรรม เป็นกลาง และซื่อสัตย์ต่อตนเองและหน้าที่ของตน
            ผู้ที่มีคุณธรรมดังที่กล่าวมาแล้วนี้ คือ มีสัจจะ การคิด การพูด การทำแต่ความจริง มีความเป็นธรรม คือ มีใจเป็นกลาง ไม่มีอคติ คือ ไม่ลำเอียงเข้าข้างใดข้างหนึ่ง ผู้ที่มีคุณธรรมทั้ง ๓ อย่างนี้ จะเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อหน้าที่การงาน ต่อองค์กร ต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
            ส่วนผู้ที่มีอคติ คือมีความลำเอียงหรือเอนเอียง เข้าข้างใดข้างหนึ่ง ไม่มีความเป็นธรรม ไม่มีความเป็นกลาง
            ๑) ลำเอียงเพราะรัก คือคนที่ตนรักทำผิดก็ตัดสินว่าถูก
            ๒) ลำเอียงเพราะเกลียด คนที่ตนเกลียด ทำถูกก็ตัดสินว่าผิด
            ๓) ลำเอียงเพราะกลัว ผู้ที่มีอำนาจมีอิทธิพลทำความผิดก็ตัดสินว่าถูก
            ๔) ลำเอียงเพราะโง่เขลา จะตัดสินปัญหาใดๆก็ผิด เพราะเป็นคนหูเบาเชื่อคนง่าย ไม่มีสติปัญญา ไม่มีคุณธรรม ตัดสินปัญหาต่างๆด้วยอารมณ์ ไม่มีเหตุผล ไม่มีความซื่อสัตย์ต่ออาชีพ หน้าที่การงาน  ไม่มีความจริงใจต่อตนเอง และผู้อื่น ทำให้สังคมเสื่อมโทรม ไม่ควรเคารพนับถือ ไม่ควรคบค้าสมาคม นี้คือ  ผู้ที่ขาดคุณธรรมทั้ง ๓ อย่าง



                      ความซื่อสัตย์สุจริต ความเพียร

คำพ่อสอน
หมวด ความซื่อสัตย์สุจริต ความเพียร
                " ข้าพเจ้าใคร่ขอให้ท่านทั้งหลายจงมั่นอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต ถือเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพราะคุณธรรมอันนี้เป็นมูลฐาน อันสำคัญที่จะยังความเจริญ และความเป็นปึกแผ่นแก่สังคม เป็นบ่อเกิด แห่งความสามัคคีกลมเกลียว ความซื่อสัตย์ที่ว่านี้ หมายถึง ความสุจริต ซื่อตรงต่อหน้าที่การงาน ต่อตนเองและต่อผู้อื่น ที่เกี่ยวข้อง มีเจตนาบริสุทธิ์ไม่เอารัดเอาเปรียบ สำหรับท่านที่ใช้วิชากฎหมาย ย่อมกินความถึงการรักษาความเป็นธรรม ไม่บิดเบือน ความหมายของตัวบทกฎหมาย เพื่อประโยชน์ของตนเองด้วย ความซื่อสัตย์สุจริตจะเป็นเสมือนหนึ่งเกราะคุ้มภัยแก่ท่านตลอดไป ดังบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ว่า “สุจริตคือเกราะบัง สาตรพ้อง” "
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : ๒๓ พฤษภาคม ๒๔๙๖)
                " ท่านทั้งหลายที่สำเร็จการศึกษาและจะได้ออกไปประกอบการงานเริ่มต้นชีวิตใหม่ของท่านนั้น ข้าพเจ้าขอฝากคติไว้เป็นเครื่องกำกับใจ มีคุณธรรมข้อหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งท่านต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดอยู่เสมอคือ ความสัตย์สุจริต ประเทศบ้านเมืองจะวัฒนาถาวรอยู่ได้ ก็ย่อมอาศัยความสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐาน ท่านทั้งหลายจะออกไปรับราชการก็ดี หรือประกอบกิจการงานส่วนตัวก็ดี ขอให้มั่นอยู่ในคุณธรรมทั้ง ๓ ประการคือ สุจริตต่อบ้านเมือง สุจริตต่อประชาชน และสุจริตต่อหน้าที่ ท่านจึงจะเป็นผู้ที่ควรแก่การสรรเสริญของ มวลชนทั่วไป ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีต่อท่านทั้งหลาย ในเกียรติ ที่ท่านได้รับ ณ ท่ามกลางสันนิบาตนี้และขอให้ท่านจงรำลึกถึงเกียรตินี้ และรักษาไว้ด้วยความสัตย์สุจริต ให้สมกับพุทธภาษิต ว่า “คนย่อมได้เกียรติคือชื่อเสียงเพราะความสัตย์” "
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ๑๒ มิถุนายน ๒๔๙๗)
                " ท่านจะต้องสุจริตต่อบ้านเมือง สุจริตต่อประชาชนและสุจริต ต่อหน้าที่ ..... นอกจากความรู้และความสุจริตประจำตัวแล้วท่านควร มีหรือตั้งจุดหมายให้แน่วแน่ในการงานที่จะกระทำนั้น แล้วใช้ความคิดไตร่ตรองว่าจะทำอย่างไรบ้าง ..... และการใช้ความคิดดังว่านี้จำเป็นต้อง ใช้สติควบคุม มิฉะนั้น ก็จะเป็นความคิดที่ฟุ้งซ่านซึ่งประเทศชาติ ไม่พึงปรารถนา "
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ๗ กรกฎาคม ๒๔๙๘)
                " ก่อนที่แต่ละคนจะออกไปประกอบการงาน ดำเนินชีวิตต่อไป ใคร่ขอให้คิดไตร่ตรองให้เข้าใจโดยแจ้งชัดว่า การที่ศึกษาสำเร็จได้นี้ ตัวท่านเอง ต้องพากเพียรบากบั่นอย่างหนักยิ่งมาโดยตลอด ทั้งได้อาศัย ครูอาจารย์ สถานศึกษาและปัจจัยอื่นๆ อีกมาก ซึ่งนับว่าเป็นการ ช่วยเหลือที่ท่านได้รับจากผู้อื่น คือประชาชนเป็นส่วนรวม เมื่อได้บากบั่นสร้างความสำเร็จในการศึกษาด้วยตนเองมาได้ชั้นหนึ่งแล้ว ขอให้มุ่งมั่นสร้างความสำเร็จในชีวิตต่อไป อย่าให้เสียทีที่ได้ทำความเพียร พยายามมา ในส่วนที่ได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากผู้อื่นนั้น ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะได้ตอบแทน "
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่: ๒๙ มกราคม ๒๕๑๓)
                " .....ในฐานะที่จะเป็นครูบาอาจารย์หรือหัวหน้างานในวันข้างหน้า จำเป็น ต้องมีความสุจริตยุติธรรม ทำตัวให้เป็นตัวอย่างและเป็นที่พึ่งของผู้อยู่ ใต้บังคับบัญชา ไม่ยอมพ่ายแพ้แก่ความโลภ ความลืมตัว ความริษยาแตกร้าวกัน ต้องมุ่งมั่นในประโยชน์อันยั่งยืนไพศาลของส่วนรวมเป็นเป้าหมาย จึงจะได้เชื่อว่า จะประสบความสำเร็จและชื่อเสียงเกียรติคุณ ทุกๆประการดังที่ปรารถนา …… "
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า : ๒๕ ตุลาคม ๒๕๑๖)
                " บัดนี้ได้ข่มขู่ท่านทั้งหลายอย่างรุนแรงแล้ว ว่าท่านต้องตายทุกคน แต่ทำไมท่านหัวเราะ? ก็เพราะว่าทุกคนจะปลอดภัย ถ้ามีความมั่นใจจริงๆ ว่าเราต้องมีความซื่อสัตย์ มีความตั้งใจที่แน่วแน่ ทำอะไร ไม่ใช่ทำสำหรับได้ชื่อเสียงส่วนตัว หรือได้อำนาจ แต่ทำเพื่อรักษา ส่วนรวม คือ ส่วนรวมที่เป็นที่อยู่ของเราเป็นที่อาศัยของเรา ทุกคนต้อง มีความมุ่งมั่น ไม่คิดถึงสิ่งที่มาขมขู่เรา ต้องคิดด้วยเหตุผล "
(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)
                " ในที่นี้ ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะชี้ให้เห็นว่า คนเราจะแสวงหาแต่วิชา การฝ่ายเดียวไม่ได้ ผู้มีวิชาการจำเป็นจะต้องมีคุณสมบัติในตัวเอง นอกจากวิชาความรู้ด้วย จึงจะนำตนนำชาติให้รอดและเจริญได้ คุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับทุกคนนั้น ที่สำคัญได้แก่ ความรู้จักผิดชอบ ชั่วดี ความละอายชั่วกลัวบาป ความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งในความคิด และการกระทำ ความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ความไม่ มักง่าย หยาบคาย กับอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญเป็นพิเศษ คือความขยัน หมั่นเพียร พยายามฝึกหัดประกอบการงานทุกอย่างด้วยตนเอง ด้วยความตั้งใจ ไม่ละเลย ไม่ทอดทิ้ง คุณสมบัติเหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ที่จะทำให้การศึกษาสมบูรณ์เป็นประโยชน์จริง เป็นสิ่งซึ่งครูจะต้องปลูกฝังให้เจริญขึ้นในตัวนักเรียนให้ครบถ้วน เพื่อให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นคนเต็มคน เป็นคนที่สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ตนเองและประเทศชาติได้ ....... "



รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์



                                                         
       ๑) รักชาติ คำว่า  ชาติ  หมายถึง ประเทศ  และแผ่นดินที่มีประชาชนยึดครอง  มีเขตแดนหรืออาณาเขตที่แน่นอน  มีการปกครองเป็นสัดส่วน  มีผู้นำเป็นผู้ปกครองประเทศ และประชาชนทั้งหมดด้วยกฎหมาย  ที่ประชาชนในชาตินั้น ๆ กำหนดขึ้น  เช่น ประเทศไทย  เป็นประเทศที่มีอาณาเขต  มีเนื้อที่ประมาณ  ๕๑๓,๑๑๕ ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ ๖๓ ล้านคน (พ.ศ.๒๕๕๓)
มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  มีศาสนาพุทธ  เป็นศาสนาประจำชาติ  มีวัฒนธรรม  ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี    เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติของตนเอง  สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษเป็นเวลายาวนาน
      ผู้ที่จะมีความรักชาติได้นั้น ต้องมีคุณธรรมประจำกาย วาจา ใจ คือ ความกตัญญู กตเวที หมายถึงผู้ที่รู้คุณของแผ่นดิน แล้วตอบแทนคุณแผ่นดิน ดังนั้นเราต้องรัก
ชาติ  คำว่า  รักชาติ หมายถึง เราต้องรักษาแผ่นดินไทยอันเป็นแผ่นดินเกิด  ที่บรรพบุรุษของไทยมีความทุกข์ยากลำบาก  ต้องเสียสละเลือดเนื้อและชีวิต เพื่อปกป้องรักษาไว้ให้ลูกหลานไทย  ได้มีแผ่นดินอยู่อาศัยมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นเราทุกคนต้องรักชาติ ช่วยกันปกป้องรักษาชาติไว้ ไม่ให้อริราชศัตรูมารุกราน  หรือมาทำร้ายทำลายด้วยประการใดๆ ก็ตาม  พวกเราต้องต่อสู้ป้องกันแผ่นดินนี้ไว้ ด้วยเลือดเนื้อ และชีวิต เพื่อให้ลูกหลานได้อยู่อาศัยต่อไป  เราต้องทะนุบำรุงสร้างชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง  ให้อยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุขสืบไป  นี้คือ  ผู้ที่รักชาติ
      ผู้ที่ไม่รักชาติ  หมายถึง ผู้ที่ไม่มีคุณธรรม ความกตัญญู กตเวที ประจำกาย วาจา ใจ เนรคุณต่อชาติ เช่น ขายชาติ ทรยศต่อชาติ เป็นไส้ศึกให้อริราชศัตรู เข้ามาทำร้าย ทำลายแล้วยึดครองประเทศชาติ สร้างความแตกแยกให้คนในชาติ นำความเสื่อมเสียมาให้ประเทศชาติบ้านเมือง นี้คือ ผู้ที่ไม่รักชาติ
       ๒) รักศาสนา คำว่า  ศาสนา  หมายถึง  คำสอนขององค์พระศาสดาแต่ละพระองค์ เช่น 
       -  ศาสนาคริสต์  คือ คำสอนของพระเยซูเจ้า 
       -  ศาสนาอิสลาม  คือ คำสอนของพระอัลลอฮ์  มีศาสดาชื่อมุฮัมมัด  นับถือพระเจ้าองค์เดียวคือพระอัลลอฮ์ 
       -  ศาสนาพุทธ  คือ คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
       -  ศาสนาอื่น ๆ ก็คือ คำสอนขององค์ศาสดาแต่ละพระองค์ตามศาสนาหรือลัทธิความเชื่อของศาสนานั้น ๆ

            ศาสนามีไว้เพื่ออะไร
               -  ศาสนาทุกศาสนามีไว้เพื่อสอนให้มนุษย์ละชั่วประพฤติดี 
               -  ศาสนาพุทธ  มีไว้เพื่อสอนให้มนุษย์ละชั่ว ทางกาย  วาจา ใจ ให้ประพฤติแต่ความดี ด้วยกาย วาจา ใจ แล้วชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ จากกิเลสทั้งสามอย่าง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ครอบงำจิตใจให้หมดสิ้นไป

หลักของพระพุทธศาสนามีอะไรบ้าง   หลักของพระพุทธศาสนา มีไว้เพื่อให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติตาม โดยแบ่งลำดับขั้นจากระดับต้นถึงระดับสูง ดังนี้ 
       -   ทาน 
       -   ศีล 
       -   สมาธิ 
       -   ปัญญา

ทาน   คือ  การให้ แบ่งได้  ๔  ประเภท   ดังนี้ 
    ๑) อามิสทาน คือการให้ทรัพย์สินเงินทองแก่ผู้ที่ควรให้เช่น  พระภิกษุ สามเณร  พ่อแม่ ครู อาจารย์  ผู้ยากจน และผู้ด้อยโอกาส  เป็นต้น ( ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ  )
    ๒) วิทยาทาน คือการให้วิชาความรู้ต่าง ๆ แก่ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด เพื่อให้สามารถนำไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว  ( ให้วิทยาทานด้วยความบริสุทธิ์ใจ )
    ๓) อภัยทาน คือการให้อภัยสำหรับผู้ที่มีความประพฤติผิดพลาดบางครั้งบางโอกาส ด้วยเหตุใดๆก็ตาม เราควรให้อภัย  ไม่ถือโทษโกรธเคือง  ไม่อาฆาตพยาบาทปองร้าย(ให้อภัยด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อให้เขามีโอกาสกลับตัวกลับใจเป็นคนดีต่อไป )    
    ๔) ธรรมทาน คือการให้พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  แก่ผู้อื่นเพื่อให้ละเว้นจากการทำความชั่ว  แล้วทำความดีด้วยกาย  วาจา ใจ  และชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสทั้งสามอย่าง  คือความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ให้หมดไปจากจิตใจ  ให้ธรรมะ เป็นทานเหนือการให้สิ่งใด ๆ  ( ให้ธรรมทานด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ )

ศีล  คือข้องดเว้นจากการทำชั่วทางกาย  วาจา (ไม่คุมถึงใจ ต้องมีคุณธรรมประจำใจ )  ผู้ใดงดเว้นจากการทำความชั่วได้มาก  กาย วาจา  ก็จะสะอาดปราศจากความชั่ว  ส่วนผู้ใดทำผิดศีลมาก  กาย  วาจา ก็จะมีมลทินมัวหมอง  ไม่บริสุทธิ์ แล้วแต่ผู้ใดจะนำศีล หมวดใดมารักษากาย วาจา ให้สมควร
แก่ตน ดังนี้
     ศีล ๕  ( สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป )
     ศีล ๘  ( สำหรับ อุบาสก  อุบาสิกา )
     ศีล ๑๐ ( สำหรับสามเณร )
     ศีล ๒๒๗ ( สำหรับพระภิกษุ )


            ในที่นี้จะขออธิบายถึง  ศีล ๕ และธรรม ๕ ประการเท่านั้นซึ่งมีรายละเอียด  ดังนี้
                        ศีลข้อที่ ๑ ปาณาติปาตา  เวระมณีสิกขาปะทัง   สะมาทิยามิ
                                       ห้ามฆ่าสัตว์   ห้ามทรมานสัตว์   ห้ามเบียดเบียนสัตว์
                        ธรรมประกอบศีลข้อที่  ๑  มีเมตตา คือความรัก  มีกรุณา  คือความสงสาร


                        ศีลข้อที่ ๒ อะทินนาทานา   เวระมณีสิกขาปะทัง  สะมาทิยามิ
                                      ห้ามลักทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน
                        ธรรมประกอบศีลข้อที่  ๒  มีสัมมาอาชีวะ  ประกอบอาชีพสุจริต  

                        ศีลข้อที่ ๓ กาเมสุมิจฉาจารา  เวระมณีสิกขาปะทัง  สะมาทิยามิ
                                      ห้ามประพฤติผิดในกาม  ห้ามเป็นชู้สู่สมกับสามีหรือภรรยาผู้อื่น
                        ธรรมประกอบศีลข้อที่  ๓  มีความสำรวมในกาม  พอใจในคู่ครองของตน 

                        ศีลข้อที่ ๔ มุสาวาทา   เวระมณีสิกขาปะทัง   สะมาทิยามิ
                                      ห้ามพูดเท็จ  หลอกลวง  ห้ามพูดส่อเสียด  พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ
                        ธรรมประกอบศีลข้อที่  ๔  มีสัจจะ  พูดแต่ความจริง  พูดเรื่องที่ดีมีประโยชน์ 

                        ศีลข้อที่ ๕ สุราเมระยะมัชชะ  ปะมาทัฎฐานา  เวระมณีสิกขาปะทัง  สะมาทิยามิ
                                      ห้ามดื่มสุรา  เครื่องดองของเมา  หรือเสพยาเสพติดให้โทษต่าง ๆ 
                        ธรรมประกอบศีลข้อที่  ๕  มีสติอันรอบคอบ ระลึกรู้ผิดชอบ  ชั่วดี 

สมาธิ   หมายถึงการทำจิตให้สงบ  มั่นคง  อยู่ที่ใดที่หนึ่ง  จิตเป็นนามธรรมมีหน้าที่คิด  เหตุที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงสอนให้ฝึกสมาธิ  เพราะพระองค์ท่านรู้ว่าตามธรรมชาติจิตใจของมนุษย์มีกิเลส ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  เป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้ฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา  พระองค์ท่านจึงทรงหาอุบายให้ใช้สติควบคุมจิตให้สงบ  โดยการฝึกสมาธิ  แล้วนำมาพิจารณาไตร่ตรองคำสอน  จนเกิดปัญญา  ปัญญาคือความรอบรู้  รู้ทุกอย่าง ที่ได้มาจากการศึกษา  มีทั้งปัญญาทางโลก  และปัญญาทางธรรม  

ปัญญา  คือความรู้ หรือความรอบรู้  ที่ได้มาจากการศึกษามีอยู่  ๒  อย่างด้วยกัน  ดังนี้
             ๑) ปัญญาทางโลก
             ๒) ปัญญาทางธรรม
              ๑) ปัญญาทางโลก  คือการศึกษาหาความรู้จากโรงเรียน  หรือสถานศึกษาต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรม  ที่สัมผัสได้  เช่นการเรียนรู้เรื่องต้นไม้  พืชชนิดต่าง ๆ  การเรียนรู้  ดิน ฟ้า อากาศ หรือเชื้อโรค  การเรียนรู้เรื่องช่างฝีมือ  และศิลปะ เป็นต้น  เพื่อนำมาประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว  หรือสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศชาติบ้านเมือง  ถ้าท่านได้ศึกษาอย่างละเอียดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ท่านก็จะเป็นผู้มีความรู้  ความชำนาญ ในเรื่องนั้น ๆ ที่ทางโลกเรียกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญ  ในแต่ละสาขาอาชีพ  นี้คือ  “ปัญญาทางโลก”
             ๒) ปัญญาทางธรรม  คือการเรียนรู้จากคำสอนของ  องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า  ซึ่งพระองค์ทรงสอนให้เรารู้จักตัวเองว่า  อะไรเป็นรูป  อะไรเป็นนาม เช่นตัวตนของเรา ประกอบไปด้วย  ธาตุ  ๔  ( ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ )  ขันธ์  ๕  ( รูป เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ ) เป็นต้น
            พระผู้มีพระภาคเจ้า  ตรัสรู้แจ้งเห็นจริง  ทั้งอดีต ปัจจุบัน  และอนาคต จึงทรงวางหลัก  พระพุทธศาสนาไว้  ๔  ประการ คือ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อให้มนุษย์ได้ประพฤติปฏิบัติตาม  พระองค์ท่าน  ตรัสสอนให้มนุษย์  ให้ทาน  นำศีลมารักษา กาย วาจา  เจริญสมาธิและวิปัสสนา  เพื่อให้เกิดปัญญา  จะได้มีคุณสมบัติทั้ง  ๔  ประการ  ติดตัวตามตนไปในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป เมื่อไปเกิดเป็นมนุษย์อีกจะส่งผล  ให้มีฐานะร่ำรวย  มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม และมีปัญญาดี  อันจะเกื้อหนุนเอื้ออำนวยให้สามารถปฏิบัติธรรมในขั้นสูงขึ้นไป  จนรู้แจ้งเห็นจริงตามพระองค์ท่าน 
            เราต้องรัก  และเคารพนับถือ  บูชาพุทธศาสนา  เพราะพระพุทธเจ้า องค์ศาสดา ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ หมายถึง พระพุทธองค์ทรงมีความสงสารสรรพสัตว์ทั้งโลก ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และมีปัญญาเป็นเลิศ รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม พระพุทธองค์จึงมีคำสอนมากมาย ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพื่อเป็นอุบายให้มนุษย์นำมาประพฤติปฏิบัติตามให้ทุกคนเป็นคนดี มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย  ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติตามจนกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง หมดไปจากจิตใจ เข้าสู่แดนวิมุตหลุดพ้น ไม่ต้องมาเวียนว่าย ตาย เกิด อีกต่อไป
            ผู้ที่รักศาสนา ต้องมีคุณธรรมประจำกาย วาจา ใจ คือ มีความกตัญญู กตเวที ต่อพระองค์ท่าน โดยการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมตามพระองค์ท่าน แล้วนำคำสอนที่รู้ตามไปสอนให้ผู้อื่น ละชั่วประพฤติดี และชำระจิตใจให้สะอาดปราศจากเครื่องเศร้าหมอง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เราจึงต้องเคารพนับถือบูชาพระพุทธศาสนา และทะนุบำรุงให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป นี้คือ ผู้ที่รักศาสนา
            ผู้ที่ไม่รักศาสนา  หมายถึง  ผู้ที่ไม่รัก เคารพนับถือ บูชา พุทธศาสนา  และพระพุทธเจ้า  ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน  ของพระองค์ท่าน  ไม่ละชั่วประพฤติดี  ไม่ชำระจิตใจให้สะอาดปราศจากกิเลส ปล่อยให้ ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ครอบงำจิตใจ ไม่มีการให้ทาน ไม่นำศีลและธรรม  มารักษา กาย วาจา ใจ ให้สะอาด  ไม่เจริญสมาธิเพื่อให้จิตสงบ ไม่วิปัสสนา คือไม่นำพระธรรมคำสอน มาพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญา   ที่จะเอาชนะกิเลสทั้ง ๓  อย่างได้  จึงเป็นผู้ที่มีความโลภ  คือ มีความอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด มีความโกรธ  คือ ความไม่พอใจ  ความอาฆาต พยาบาท ป้องร้าย มีความหลง  คือความเข้าใจผิด  มีความรักใคร่พอใจในสิ่งต่าง ๆ คิดว่าจะเป็นสุข  แท้ที่จริงแล้วความโลภ ความโกรธ  ความหลง  ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุของการเกิดทุกข์ทั้งสิ้น ไม่เคารพนับถือ เหยียบย้ำทำลายและอาศัยศาสนาหากิน  ให้เกิดความเสื่อมเสีย ต่อต้านหรือบิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์ ให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเสื่อมศรัทธา  ต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง  นี้คือ  ผู้ที่เนรคุณไม่รัก  ไม่นับถือในพุทธศาสนา
        ๓)  รักพระมหากษัตริย์  คำว่า  พระมหากษัตริย์  หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน  ผู้เป็นพระประมุข(ผู้เป็นใหญ่)ของประเทศ  มีหน้าที่  ปกครองประชาชนพลเมืองในประเทศนั้น ๆ ให้อยู่ดีมีสุข  ตามกฎหมาย  ตามครรลองคลองธรรม  จารีตประเพณีวัฒนธรรม  ของชาตินั้น ๆ  เช่นประเทศไทย  มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  เป็นพระประมุข  ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม  เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม  ตามทศพิธราชธรรม
            ทศพิธราชธรรม หมายถึง จริยาวัตรที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็นหลักธรรม ประจำพระองค์หรือคุณธรรมผู้ปกครองบ้านเมืองที่ดี มี ๑๐ ประการ  ดังนี้
            (๑)  ทาน คือ การให้  ให้เป็นประจำเป็นปกติ  เช่น ให้อามิสทาน  ให้วิทยาทาน ให้อภัยทาน และให้ธรรมทาน                  
            (๒)  ศีล  คือ การรักษา กาย วาจา ให้เรียบร้อย  หมายถึงการงดเว้นจากการทำความชั่วทางกาย ทางวาจา  
            (๓)  บริจาค  คือ ความเสียสละ  หมายถึงการสละทรัพย์สินเงินทอง  เป็นบางครั้งบางคราว  เมื่อมีความจำเป็นเช่นบริจาคเงินสร้างสาธารณประโยชน์ หรือบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสพภัย เป็นต้น
            (๔)  อาชชวะ  คือ ความซื่อตรง หมายถึง ประพฤติตรงไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  เช่นซื่อตรงต่อหน้าที่ซื่อตรงต่อตนเอง ไม่ทุจริตคดโกง เป็นต้น
            (๕)  มัททวะ  คือ ความอ่อนโยน หมายถึง มีกิริยาวาจานุ่มนวล
            (๖)  ตบะ  คือ การข่มกิเลส หมายถึง  ระงับยับยั้งกิเลสไว้  ไม่ยอมเป็นทาสของ ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง
            (๗)  อักโกธะ  คือ ความไม่โกรธ  หมายถึง การให้อภัย  ไม่ถือโทษโกรธเคือง  ไม่อาฆาตพยาบาทปองร้าย 
            (๘)  อวิหิงสา  คือ ความไม่เบียดเบียน  หมายถึง การมีจิตใจ โอบอ้อมอารี  ช่วยเหลือเผื่อแผ่  ไม่สร้างความทุกข์  ความเดือดร้อนให้กับผู้ใด
            (๙)  ขันติ  คือ  ความอดทน  หมายถึง  อดทนต่อความเหนื่อยยากลำบาก  ทั้งกาย  ทั้งใจ  เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติบ้านเมือง
            (๑๐) อวิโรธนะ  คือ  ความไม่คลาดเคลื่อนจากธรรม  หมายถึง  ความไม่ประมาท  ประพฤติปฏิบัติถูกต้องตาม  ครรลองคลองธรรม 
            ในปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช  ทรงเป็นพระมหากษัตริย์  ผู้ประเสริฐยิ่ง  ซึ่งพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ  ทรงมีเมตตา  กรุณา  ต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้  ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม  เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม  ทรงยึดหลักทศพิธราชธรรม  นำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง  เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของปวงชนชาวไทย  นำความเจริญรุ่งเรืองความผาสุกมาสู่พสกนิกรถ้วนหน้า   นอกจากนั้นพระองค์ท่านทรงพระปรีชาสามารถจนเกียรติประวัติเลื่องลือไกลหาที่สุดมิได้  เป็นที่ประจักษ์แก่นานาอารยประเทศทั่วโลก  นำชื่อเสียงเกียรติยศ  มาสู่ประเทศไทยอย่างยิ่งใหญ่ 
             ผู้ที่จะรักพระมหากษัตริย์ได้ ต้องมีคุณธรรมประจำกาย วาจา ใจ คือ ความกตัญญู กตเวที รู้คุณและตอบแทนบุญคุณของพระองค์ท่าน ด้วยชีวิตจิตใจที่บริสุทธิ์  เพราะฉะนั้น เราต้องรักพระมหากษัตริย์  นับว่าเราชาวไทยทุกคนมีความภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระโพธิสมภาร  มีความเป็นอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข  มีความรู้รักสามัคคีกลมเกลียว  รวมน้ำใจไทยทั้งชาติให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว  ประพฤติตนเป็นคนดี  เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล  และถวายความจงรักภักดี  ปกป้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  และราชบัลลังก์  นี้คือผู้ที่รัก  “พระมหากษัตริย์ ”
             ผู้ที่ไม่รักพระมหากษัตริย์  หมายถึง ผู้ที่  ไม่มีความจงรักภักดี  ไม่มีความเคารพ นับถือต่อสถาบันพระมหากษัตริย์    คิดทำร้ายทำลาย  จาบจ้วงล่วงละเมิด  หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำตาม  รวมไปถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้าราชการทหาร ตำรวจ บางคน  ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ  แต่กลับปล่อยปะละเลย  ไม่ดำเนินการยับยั้ง  หรือปราบปรามจับกุม  ผู้กระทำผิดดังกล่าว   และยังปล่อยให้มีขบวนการ  ดำเนินการเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์  ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง  โดยเพียงเพื่อให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มหรือกลุ่มของตนเอง  ได้ผลประโยชน์และมีอำนาจโดยมิชอบธรรม  ไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และราชบัลลังก์  ดังที่ได้กล่าวถวายคำสัตย์ปฏิญาณไว้ เพราะขาดคุณธรรม คือ ไม่มีสัจจะ ไม่มีความกตัญญู กตเวที ไม่รู้คุณ และยังเนรคุณต่อพระองค์ท่าน นี้คือ  ผู้ที่ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์    
            สถาบันทั้ง ๓ สถาบันนี้ มีบุญคุณต่อเราอย่างใหญ่หลวง เช่น ชาติ คือ แผ่นดินที่เราอยู่อาศัย ศาสนา คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เราเป็นคนดี พระมหากษัตริย์ คือ ผู้ปกครองบ้านเมืองโดยธรรม เพื่อความสงบสุขของพสกนิกรชาวไทย เราต้องรักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ จะได้อยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข


รู้หน้าที่ มีวินัย ภูมิใจในความเป็นไทย

  รู้หน้าที่ มีวินัย ภูมิใจในความเป็นไทย

ข้อปฏิบัติที่มีหลักเกณฑ์เพื่อให้การปฏิบัติงานบรรลุสำเร็จโดยดี ฉะนั้นการสร้างนิสัยให้เป็นคนมีระเบียบวินัยจึงจำเป็นต่อการสร้างสรรค์ความมั่นคงก้าวหน้าของประเทศ ระเบียบวินัยที่
สำคัญ ๆ ได้แก่ รัก และรักทรัพย์สมบัติของชาติ การตรงต่อเวลา ความสะอาด ความภูมิใจในตัวเองเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น หากปราศจากความภาคภูมิใจและความเชื่อมั่นในตัวเองจะทำให้เราไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง นั่นหมายถึงความภูมิใจ และความมั่นใจเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาระบบสังคม และเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งองค์กร หรือแม้กระทั่งผู้นำในครอบครัว 



วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556


นางสาวจิราพร ไพรณรินทร์  ชื่อเล่น แป้ง
เกิดวันที่ 6 เมษายน 2537
อายุ 19 ปี
ที่อยู่ 1/1 ม.6 บ้านปะ ต.ตั้งใจ อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
ศึกษาอยู่วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุรินทร์
แผนก คอมพิวเตอร์ธุรกิจ   5/2