๑) รักชาติ คำว่า ชาติ หมายถึง ประเทศ และแผ่นดินที่มีประชาชนยึดครอง มีเขตแดนหรืออาณาเขตที่แน่นอน มีการปกครองเป็นสัดส่วน มีผู้นำเป็นผู้ปกครองประเทศ และประชาชนทั้งหมดด้วยกฎหมาย ที่ประชาชนในชาตินั้น ๆ กำหนดขึ้น เช่น ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีอาณาเขต มีเนื้อที่ประมาณ ๕๑๓,๑๑๕ ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ ๖๓ ล้านคน (พ.ศ.๒๕๕๓)
มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติ มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติของตนเอง สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษเป็นเวลายาวนาน
ผู้ที่จะมีความรักชาติได้นั้น ต้องมีคุณธรรมประจำกาย วาจา ใจ คือ ความกตัญญู กตเวที หมายถึงผู้ที่รู้คุณของแผ่นดิน แล้วตอบแทนคุณแผ่นดิน ดังนั้นเราต้องรัก
ชาติ คำว่า รักชาติ หมายถึง เราต้องรักษาแผ่นดินไทยอันเป็นแผ่นดินเกิด ที่บรรพบุรุษของไทยมีความทุกข์ยากลำบาก ต้องเสียสละเลือดเนื้อและชีวิต เพื่อปกป้องรักษาไว้ให้ลูกหลานไทย ได้มีแผ่นดินอยู่อาศัยมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นเราทุกคนต้องรักชาติ ช่วยกันปกป้องรักษาชาติไว้ ไม่ให้อริราชศัตรูมารุกราน หรือมาทำร้ายทำลายด้วยประการใดๆ ก็ตาม พวกเราต้องต่อสู้ป้องกันแผ่นดินนี้ไว้ ด้วยเลือดเนื้อ และชีวิต เพื่อให้ลูกหลานได้อยู่อาศัยต่อไป เราต้องทะนุบำรุงสร้างชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ให้อยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุขสืบไป นี้คือ ผู้ที่รักชาติ
ผู้ที่ไม่รักชาติ หมายถึง ผู้ที่ไม่มีคุณธรรม ความกตัญญู กตเวที ประจำกาย วาจา ใจ เนรคุณต่อชาติ เช่น ขายชาติ ทรยศต่อชาติ เป็นไส้ศึกให้อริราชศัตรู เข้ามาทำร้าย ทำลายแล้วยึดครองประเทศชาติ สร้างความแตกแยกให้คนในชาติ นำความเสื่อมเสียมาให้ประเทศชาติบ้านเมือง นี้คือ ผู้ที่ไม่รักชาติ
๒) รักศาสนา คำว่า ศาสนา หมายถึง คำสอนขององค์พระศาสดาแต่ละพระองค์ เช่น
- ศาสนาคริสต์ คือ คำสอนของพระเยซูเจ้า
- ศาสนาอิสลาม คือ คำสอนของพระอัลลอฮ์ มีศาสดาชื่อมุฮัมมัด นับถือพระเจ้าองค์เดียวคือพระอัลลอฮ์
- ศาสนาพุทธ คือ คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ศาสนาอื่น ๆ ก็คือ คำสอนขององค์ศาสดาแต่ละพระองค์ตามศาสนาหรือลัทธิความเชื่อของศาสนานั้น ๆ
ศาสนามีไว้เพื่ออะไร
- ศาสนาทุกศาสนามีไว้เพื่อสอนให้มนุษย์ละชั่วประพฤติดี
- ศาสนาพุทธ มีไว้เพื่อสอนให้มนุษย์ละชั่ว ทางกาย วาจา ใจ ให้ประพฤติแต่ความดี ด้วยกาย วาจา ใจ แล้วชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ จากกิเลสทั้งสามอย่าง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ครอบงำจิตใจให้หมดสิ้นไป
หลักของพระพุทธศาสนามีอะไรบ้าง หลักของพระพุทธศาสนา มีไว้เพื่อให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติตาม โดยแบ่งลำดับขั้นจากระดับต้นถึงระดับสูง ดังนี้
- ทาน
- ศีล
- สมาธิ
- ปัญญา
ทาน คือ การให้ แบ่งได้ ๔ ประเภท ดังนี้
๑) อามิสทาน คือการให้ทรัพย์สินเงินทองแก่ผู้ที่ควรให้เช่น พระภิกษุ สามเณร พ่อแม่ ครู อาจารย์ ผู้ยากจน และผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น ( ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ )
๒) วิทยาทาน คือการให้วิชาความรู้ต่าง ๆ แก่ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด เพื่อให้สามารถนำไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ( ให้วิทยาทานด้วยความบริสุทธิ์ใจ )
๓) อภัยทาน คือการให้อภัยสำหรับผู้ที่มีความประพฤติผิดพลาดบางครั้งบางโอกาส ด้วยเหตุใดๆก็ตาม เราควรให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง ไม่อาฆาตพยาบาทปองร้าย(ให้อภัยด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อให้เขามีโอกาสกลับตัวกลับใจเป็นคนดีต่อไป )
๔) ธรรมทาน คือการให้พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แก่ผู้อื่นเพื่อให้ละเว้นจากการทำความชั่ว แล้วทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ และชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสทั้งสามอย่าง คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดไปจากจิตใจ ให้ธรรมะ เป็นทานเหนือการให้สิ่งใด ๆ ( ให้ธรรมทานด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ )
ศีล คือข้องดเว้นจากการทำชั่วทางกาย วาจา (ไม่คุมถึงใจ ต้องมีคุณธรรมประจำใจ ) ผู้ใดงดเว้นจากการทำความชั่วได้มาก กาย วาจา ก็จะสะอาดปราศจากความชั่ว ส่วนผู้ใดทำผิดศีลมาก กาย วาจา ก็จะมีมลทินมัวหมอง ไม่บริสุทธิ์ แล้วแต่ผู้ใดจะนำศีล หมวดใดมารักษากาย วาจา ให้สมควร
แก่ตน ดังนี้
ศีล ๕ ( สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป )
ศีล ๘ ( สำหรับ อุบาสก อุบาสิกา )
ศีล ๑๐ ( สำหรับสามเณร )
ศีล ๒๒๗ ( สำหรับพระภิกษุ )
ในที่นี้จะขออธิบายถึง ศีล ๕ และธรรม ๕ ประการเท่านั้นซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ศีลข้อที่ ๑ ปาณาติปาตา เวระมณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามทรมานสัตว์ ห้ามเบียดเบียนสัตว์
ธรรมประกอบศีลข้อที่ ๑ มีเมตตา คือความรัก มีกรุณา คือความสงสาร
ศีลข้อที่ ๒ อะทินนาทานา เวระมณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ห้ามลักทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน
ธรรมประกอบศีลข้อที่ ๒ มีสัมมาอาชีวะ ประกอบอาชีพสุจริต
ศีลข้อที่ ๓ กาเมสุมิจฉาจารา เวระมณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ห้ามประพฤติผิดในกาม ห้ามเป็นชู้สู่สมกับสามีหรือภรรยาผู้อื่น
ธรรมประกอบศีลข้อที่ ๓ มีความสำรวมในกาม พอใจในคู่ครองของตน
ศีลข้อที่ ๔ มุสาวาทา เวระมณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ห้ามพูดเท็จ หลอกลวง ห้ามพูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ
ธรรมประกอบศีลข้อที่ ๔ มีสัจจะ พูดแต่ความจริง พูดเรื่องที่ดีมีประโยชน์
ศีลข้อที่ ๕ สุราเมระยะมัชชะ ปะมาทัฎฐานา เวระมณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ห้ามดื่มสุรา เครื่องดองของเมา หรือเสพยาเสพติดให้โทษต่าง ๆ
ธรรมประกอบศีลข้อที่ ๕ มีสติอันรอบคอบ ระลึกรู้ผิดชอบ ชั่วดี
สมาธิ หมายถึงการทำจิตให้สงบ มั่นคง อยู่ที่ใดที่หนึ่ง จิตเป็นนามธรรมมีหน้าที่คิด เหตุที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนให้ฝึกสมาธิ เพราะพระองค์ท่านรู้ว่าตามธรรมชาติจิตใจของมนุษย์มีกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้ฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา พระองค์ท่านจึงทรงหาอุบายให้ใช้สติควบคุมจิตให้สงบ โดยการฝึกสมาธิ แล้วนำมาพิจารณาไตร่ตรองคำสอน จนเกิดปัญญา ปัญญาคือความรอบรู้ รู้ทุกอย่าง ที่ได้มาจากการศึกษา มีทั้งปัญญาทางโลก และปัญญาทางธรรม
ปัญญา คือความรู้ หรือความรอบรู้ ที่ได้มาจากการศึกษามีอยู่ ๒ อย่างด้วยกัน ดังนี้
๑) ปัญญาทางโลก
๒) ปัญญาทางธรรม
๑) ปัญญาทางโลก คือการศึกษาหาความรู้จากโรงเรียน หรือสถานศึกษาต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรม ที่สัมผัสได้ เช่นการเรียนรู้เรื่องต้นไม้ พืชชนิดต่าง ๆ การเรียนรู้ ดิน ฟ้า อากาศ หรือเชื้อโรค การเรียนรู้เรื่องช่างฝีมือ และศิลปะ เป็นต้น เพื่อนำมาประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว หรือสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศชาติบ้านเมือง ถ้าท่านได้ศึกษาอย่างละเอียดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ท่านก็จะเป็นผู้มีความรู้ ความชำนาญ ในเรื่องนั้น ๆ ที่ทางโลกเรียกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญ ในแต่ละสาขาอาชีพ นี้คือ “ปัญญาทางโลก”
๒) ปัญญาทางธรรม คือการเรียนรู้จากคำสอนของ องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงสอนให้เรารู้จักตัวเองว่า อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม เช่นตัวตนของเรา ประกอบไปด้วย ธาตุ ๔ ( ดิน น้ำ ลม ไฟ ) ขันธ์ ๕ ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) เป็นต้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสรู้แจ้งเห็นจริง ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จึงทรงวางหลัก พระพุทธศาสนาไว้ ๔ ประการ คือ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อให้มนุษย์ได้ประพฤติปฏิบัติตาม พระองค์ท่าน ตรัสสอนให้มนุษย์ ให้ทาน นำศีลมารักษา กาย วาจา เจริญสมาธิและวิปัสสนา เพื่อให้เกิดปัญญา จะได้มีคุณสมบัติทั้ง ๔ ประการ ติดตัวตามตนไปในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป เมื่อไปเกิดเป็นมนุษย์อีกจะส่งผล ให้มีฐานะร่ำรวย มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม และมีปัญญาดี อันจะเกื้อหนุนเอื้ออำนวยให้สามารถปฏิบัติธรรมในขั้นสูงขึ้นไป จนรู้แจ้งเห็นจริงตามพระองค์ท่าน
เราต้องรัก และเคารพนับถือ บูชาพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้า องค์ศาสดา ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ หมายถึง พระพุทธองค์ทรงมีความสงสารสรรพสัตว์ทั้งโลก ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และมีปัญญาเป็นเลิศ รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม พระพุทธองค์จึงมีคำสอนมากมาย ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพื่อเป็นอุบายให้มนุษย์นำมาประพฤติปฏิบัติตามให้ทุกคนเป็นคนดี มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติตามจนกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง หมดไปจากจิตใจ เข้าสู่แดนวิมุตหลุดพ้น ไม่ต้องมาเวียนว่าย ตาย เกิด อีกต่อไป
ผู้ที่รักศาสนา ต้องมีคุณธรรมประจำกาย วาจา ใจ คือ มีความกตัญญู กตเวที ต่อพระองค์ท่าน โดยการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมตามพระองค์ท่าน แล้วนำคำสอนที่รู้ตามไปสอนให้ผู้อื่น ละชั่วประพฤติดี และชำระจิตใจให้สะอาดปราศจากเครื่องเศร้าหมอง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เราจึงต้องเคารพนับถือบูชาพระพุทธศาสนา และทะนุบำรุงให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป นี้คือ ผู้ที่รักศาสนา
ผู้ที่ไม่รักศาสนา หมายถึง ผู้ที่ไม่รัก เคารพนับถือ บูชา พุทธศาสนา และพระพุทธเจ้า ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน ของพระองค์ท่าน ไม่ละชั่วประพฤติดี ไม่ชำระจิตใจให้สะอาดปราศจากกิเลส ปล่อยให้ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำจิตใจ ไม่มีการให้ทาน ไม่นำศีลและธรรม มารักษา กาย วาจา ใจ ให้สะอาด ไม่เจริญสมาธิเพื่อให้จิตสงบ ไม่วิปัสสนา คือไม่นำพระธรรมคำสอน มาพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญา ที่จะเอาชนะกิเลสทั้ง ๓ อย่างได้ จึงเป็นผู้ที่มีความโลภ คือ มีความอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด มีความโกรธ คือ ความไม่พอใจ ความอาฆาต พยาบาท ป้องร้าย มีความหลง คือความเข้าใจผิด มีความรักใคร่พอใจในสิ่งต่าง ๆ คิดว่าจะเป็นสุข แท้ที่จริงแล้วความโลภ ความโกรธ ความหลง ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุของการเกิดทุกข์ทั้งสิ้น ไม่เคารพนับถือ เหยียบย้ำทำลายและอาศัยศาสนาหากิน ให้เกิดความเสื่อมเสีย ต่อต้านหรือบิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์ ให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเสื่อมศรัทธา ต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง นี้คือ ผู้ที่เนรคุณไม่รัก ไม่นับถือในพุทธศาสนา
๓) รักพระมหากษัตริย์ คำว่า พระมหากษัตริย์ หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน ผู้เป็นพระประมุข(ผู้เป็นใหญ่)ของประเทศ มีหน้าที่ ปกครองประชาชนพลเมืองในประเทศนั้น ๆ ให้อยู่ดีมีสุข ตามกฎหมาย ตามครรลองคลองธรรม จารีตประเพณีวัฒนธรรม ของชาตินั้น ๆ เช่นประเทศไทย มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นพระประมุข ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ตามทศพิธราชธรรม
ทศพิธราชธรรม หมายถึง จริยาวัตรที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็นหลักธรรม ประจำพระองค์หรือคุณธรรมผู้ปกครองบ้านเมืองที่ดี มี ๑๐ ประการ ดังนี้
(๑) ทาน คือ การให้ ให้เป็นประจำเป็นปกติ เช่น ให้อามิสทาน ให้วิทยาทาน ให้อภัยทาน และให้ธรรมทาน
(๒) ศีล คือ การรักษา กาย วาจา ให้เรียบร้อย หมายถึงการงดเว้นจากการทำความชั่วทางกาย ทางวาจา
(๓) บริจาค คือ ความเสียสละ หมายถึงการสละทรัพย์สินเงินทอง เป็นบางครั้งบางคราว เมื่อมีความจำเป็นเช่นบริจาคเงินสร้างสาธารณประโยชน์ หรือบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสพภัย เป็นต้น
(๔) อาชชวะ คือ ความซื่อตรง หมายถึง ประพฤติตรงไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่นซื่อตรงต่อหน้าที่ซื่อตรงต่อตนเอง ไม่ทุจริตคดโกง เป็นต้น
(๕) มัททวะ คือ ความอ่อนโยน หมายถึง มีกิริยาวาจานุ่มนวล
(๖) ตบะ คือ การข่มกิเลส หมายถึง ระงับยับยั้งกิเลสไว้ ไม่ยอมเป็นทาสของ ความโลภ ความโกรธ ความหลง
(๗) อักโกธะ คือ ความไม่โกรธ หมายถึง การให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง ไม่อาฆาตพยาบาทปองร้าย
(๘) อวิหิงสา คือ ความไม่เบียดเบียน หมายถึง การมีจิตใจ โอบอ้อมอารี ช่วยเหลือเผื่อแผ่ ไม่สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนให้กับผู้ใด
(๙) ขันติ คือ ความอดทน หมายถึง อดทนต่อความเหนื่อยยากลำบาก ทั้งกาย ทั้งใจ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติบ้านเมือง
(๑๐) อวิโรธนะ คือ ความไม่คลาดเคลื่อนจากธรรม หมายถึง ความไม่ประมาท ประพฤติปฏิบัติถูกต้องตาม ครรลองคลองธรรม
ในปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ผู้ประเสริฐยิ่ง ซึ่งพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงมีเมตตา กรุณา ต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ทรงยึดหลักทศพิธราชธรรม นำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของปวงชนชาวไทย นำความเจริญรุ่งเรืองความผาสุกมาสู่พสกนิกรถ้วนหน้า นอกจากนั้นพระองค์ท่านทรงพระปรีชาสามารถจนเกียรติประวัติเลื่องลือไกลหาที่สุดมิได้ เป็นที่ประจักษ์แก่นานาอารยประเทศทั่วโลก นำชื่อเสียงเกียรติยศ มาสู่ประเทศไทยอย่างยิ่งใหญ่
ผู้ที่จะรักพระมหากษัตริย์ได้ ต้องมีคุณธรรมประจำกาย วาจา ใจ คือ ความกตัญญู กตเวที รู้คุณและตอบแทนบุญคุณของพระองค์ท่าน ด้วยชีวิตจิตใจที่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น เราต้องรักพระมหากษัตริย์ นับว่าเราชาวไทยทุกคนมีความภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระโพธิสมภาร มีความเป็นอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข มีความรู้รักสามัคคีกลมเกลียว รวมน้ำใจไทยทั้งชาติให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ประพฤติตนเป็นคนดี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล และถวายความจงรักภักดี ปกป้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และราชบัลลังก์ นี้คือผู้ที่รัก “พระมหากษัตริย์ ”
ผู้ที่ไม่รักพระมหากษัตริย์ หมายถึง ผู้ที่ ไม่มีความจงรักภักดี ไม่มีความเคารพ นับถือต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คิดทำร้ายทำลาย จาบจ้วงล่วงละเมิด หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำตาม รวมไปถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้าราชการทหาร ตำรวจ บางคน ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ แต่กลับปล่อยปะละเลย ไม่ดำเนินการยับยั้ง หรือปราบปรามจับกุม ผู้กระทำผิดดังกล่าว และยังปล่อยให้มีขบวนการ ดำเนินการเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเพียงเพื่อให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มหรือกลุ่มของตนเอง ได้ผลประโยชน์และมีอำนาจโดยมิชอบธรรม ไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และราชบัลลังก์ ดังที่ได้กล่าวถวายคำสัตย์ปฏิญาณไว้ เพราะขาดคุณธรรม คือ ไม่มีสัจจะ ไม่มีความกตัญญู กตเวที ไม่รู้คุณ และยังเนรคุณต่อพระองค์ท่าน นี้คือ ผู้ที่ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
สถาบันทั้ง ๓ สถาบันนี้ มีบุญคุณต่อเราอย่างใหญ่หลวง เช่น ชาติ คือ แผ่นดินที่เราอยู่อาศัย ศาสนา คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เราเป็นคนดี พระมหากษัตริย์ คือ ผู้ปกครองบ้านเมืองโดยธรรม เพื่อความสงบสุขของพสกนิกรชาวไทย เราต้องรักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ จะได้อยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข